GreatDreamsLandตอนพิเศษ:ตำนานเทพยุทธ - GreatDreamsLandตอนพิเศษ:ตำนานเทพยุทธ นิยาย GreatDreamsLandตอนพิเศษ:ตำนานเทพยุทธ : Dek-D.com - Writer

    GreatDreamsLandตอนพิเศษ:ตำนานเทพยุทธ

    เป็นตอนพิเศษของมหากาพย์เรื่องGreat Dreams Land ซึ่งคนที่ไม่เคยอ่านภาคปกติก็อ่านได้สนุกรู้เรื่องครับผม(^o^)

    ผู้เข้าชมรวม

    1,796

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    1.79K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 เม.ย. 49 / 21:55 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                    [b][u]GreatDreamsLandตอนพิเศษ:ตำนานเทพยุทธ[/u][/b]

       

                  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายผู้นึง นามว่ากริฟ ฟิคชั่น เขาเป็นเด็กที่มีนิสัยประหลาด แตกต่างจากเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่อย่างนึง ตรงที่รักความสันโดษ และเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ ทำให้ในขณะที่เด็กคนอื่นๆในห้องพากันไปสุงสิงอยู่ที่ร้านเกม หรือเล่นเรื่อยเปื่อยไปตามประสาเด็ก  กริฟมักจะชอบอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือแทบทุกประเภทที่มีในนั้น โดยเฉพาะนวนิยายจีน ของโกวเล้ง มันเป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานมาก ถ้าจะสาวความถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้นั้น คงสืบเนื่องมาจากสุขภาพของเขาที่ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่จำความได้ เอ็นหัวเข่าข้างขวามักจะเจ็บปวดเสมอ ยามที่ออกแรงมากๆ ทว่า กริฟเองไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องนี้เลย ตรงกันข้าม เขาเองรู้สึกยินดีมากกว่า ที่มันทำให้เขาได้พบกับหนังสือนิยายกำลังภายในที่สนุกๆอย่างนี้ กริฟมีความฝันอยู่นึงเสมอ นับตั้งแต่ที่ได้อ่านหนังสือของโกวเล้ง เขาอยากจะมีวรยุทธ มิใช่เพื่อใช้ต่อสู้กับใคร แต่เพื่อให้ตนเองแข็งแรง และสามารถท่องไปในโลกกว้างใบนี้ได้ทุกหนแห่ง กริฟหาได้ล่วงรู้ไม่ว่า ในวันเกิดอายุ15ปีของเขาวันนี้ ความฝันเล็กๆที่มีมานานของเขา กำลังจะเป็นจริง

       

                  "ที่นี้มันที่ไหนกัน"กริฟกล่าว ถ้าเขาจำไม่ผิดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ เขาเพิ่งได้รับชุดหนังสือนวนิยายของโกวเล้ง เรื่องที่เขาหามานาน เป็นของขวัญจากเพื่อนสนิทคนนึงของเขา ที่มาร่วมอวยพรในงานวันเกิด จากนั้นก็มีการกินเลี้ยงและอะไรต่อมิอะไรมากมาย จนเขาต้องขอปลีกตัวออกมาก่อนกลางคัน เพราะเริ่มเจ็บรู้สึกเจ็บหัวเข่า จากการเดินไปเดินมาต้อนรับเพื่อนและแขกที่พ่อแม่เชิญมา เมื่อกลับมานอนที่ห้องของเขาแล้ว เขาจำไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกง่วงอย่างรุนแรงผิดปกตินักในช่วง5ทุ่มกว่าๆ ทั้งที่บางครั้งเขาก็ใช้เวลาในการอ่านนิยายนานเกือบตี2-ตี3เสมอ หากรู้สึกติดพันอยู่ โดยไม่มีอาการอ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย ความง่วงเข้าครอบงำเขาอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อหัวถึงหมอน

       

                  "ถ้างั้นเราก็ควรจะตื่นมาในห้องสิ แล้วทำไม..."กริฟกวาดตามองไปรอบๆตัว เขาพบว่าตัวเองใส่ชุดจีนสีขาว ที่ถักทออย่างปราณีตแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตจริง มันคล้ายกับชุดของพวกจอมยุทธิ์ในหนังแนวกำลังภายในที่เขาชอบดูมาก แต่ดูละเอียดอ่อนสมจริงมากกว่า สถานที่ๆเขายืนอยู่ตอนนี้ เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา โอบล้อมไปด้วยทิวเขาสูงเสียดฟ้าหลายสิบลูก เบื้องหน้าของเขาห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่ทอดยาวขดเคี้ยวราวกับพญามังกรที่หลับไหลอยู่ คั่นแบ่งทุ่งหญ้าที่เขายืนอยู่กับป่าทึบที่มีต้นไม้หนาแน่นจนมองไม่ทะลุไปยังอีกด้าน ความรู้สึกของกริฟในตอนนี้บอกได้แค่2อย่างว่า หากตนไม่ได้อยู่ในความฝัน เขาก็คงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอน ถึงได้มาอยู่ ณ สถานที่ๆเหมือนกับเส้นแบ่งระหว่างปรโลกกับโลกมนุษย์ตามที่เคยได้ยินมา เช่นนี้

       

                  "ถึงเราจะสุขภาพไม่ค่อยดีก็เถอะ มันก็ไม่น่าจะถึงตายนี้นา แต่ถ้าจะว่านี้เป็นความฝัน"กริฟพูด พร้อมๆกับเดินมาที่ริมแม่น้ำ มองดูกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ใสแจ๋วจนเห็นปลาตัวเล็กๆแหวกว่ายอยู่ก้นสระ เขากวักมือลงไปในน้ำประคองมันขึ้นมา ความรู้สึกเย็นวาบบ่งบอกว่านี้เป็นของจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่

       

                  "เย็น! ถ้าเราฝันหรือตายไปแล้ว มันก็ไม่น่าจะรู้สึกแบบนี้ได้นี่ เรามาอยู่ที่ไหนกันแน่"กริฟงุนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เขาแบมือปล่อยน้ำไหลลงกับพื้น ลูบฝ่ามือทั้งสองไปมา เหมือนจะยืนยันความรู้สึกที่ได้รับรู้ ฉับพลัน เขาก็ผงะถอยออกมาจากแม่น้ำ เมื่อได้เห็นบางสิ่งในนั้นที่เขาไม่อยากเชื่อว่าเป็นจริง

       

                  "อะไรกัน? นี้มัน ทำไมหน้าตาของเรากลายเป็นแบบนี้" เมื่อตั้งสติได้ เขาก็มองไปยังเงาสะท้อนในน้ำอีกครั้ง หน้าตาของเขากลายเป็นใบหน้าของชาวจีน ที่ดูหล่อเหลาคมคายเป็นอย่างยิ่ง ผมของเขาที่เดิมสั้นติดหนังหัว ตามแบบนักเรียนไทยทั่วไป บัดนี้ยาวสยายลงมาถึงกลางหลัง มัดรวบเอาไว้ด้วยเถาวัลย์ที่แห้งเป็นเส้นเชือกขนาดเล็ก กริฟขยี้ตาจ้องมองดูเงาสะท้อนนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยคิดว่าตาฝาด ทว่า เงาสะท้อนยังคงไม่เปลี่ยน หน้าตาที่เขาเห็นยังคงเป็นเช่นเดิม นี้มันเรื่องอะไรกันแน่? ความสับสนที่ไร้คำตอบเกิดขึ้นในหัวของเขา แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรออก ก็มีเสียงตึงตังของอะไรบางอย่างดังมาจากป่าอีกฟาก ฝ่าต้นไม้ที่หนาทึบหักโค่นลงเป็นลำดับ ตรงเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ แล้วเจ้าของเสียงดังที่เกิดขึ้น ก็กระโดดข้ามแม่น้ำที่กว้าง40เมตรได้ราวกับบิน ลงมากระแทกพื้นยืนอยู่ต่อหน้าของกริฟ

       

                  ."ตะ..ตัวอะไรกันเนี่ย"กริฟพึมพำเบาๆ แต่ดูเหมือนความกลัว จะทำให้เสียงออกมาไม่พ้นคอ สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นในป่า และกระโจนข้ามแม่น้ำมายืนยังหน้าของเขาในตอนนี้ ก็คือ"สัตว์"อะไรสักอย่าง ที่กริฟไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นตัวจริง นอกจากในหนังหรือภาพยนต์ของฮอลลีวูด มันคือ ลิงยักษ์ ขนสีเทาเข้ม กะความสูงด้วยสายตาจากท่านั่งยองๆที่มันทำอยู่อยู่ตอนนี้ ก็ใหญ่พอๆกับช้างแอฟริกาแล้ว ท่อนแขนขนาดเท่าท่อนซุงที่เหยียดยาวลงพื้น ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามันใช้ฟาดใส่เขาเบาๆสักครั้ง กระดูกกระเดี้ยวในตัว คงแหลกเหลวเป็นผงแน่แท้ ดวงตาสีดำกลมเล็กผิดกับขนาดศีรษะของมัน ที่จ้องมองหน้าของกริฟในตอนนี้ แสดงถึงความฉงนสงสัยในสิ่งที่ตนเห็น กริฟกลั้นใจยืนนิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหววิ่งหนีอะไร เพราะรู้ตัวดีว่าต่อให้มันยืนนิ่งๆปล่อยให้เขาวิ่งไปก่อนสัก3นาที แค่มันกระโดดไม่กี่ครั้งก็ตามได้ทันแล้ว ครั้นจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีคนอยู่แถวนี้มั้ย ต่อให้มี เขาก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่าจะสามารถช่วยเขาจากอสูรกายร่างบึกตัวนี้ได้หรือไม่ สัตว์ประหลาดหน้าขนทำจมูกฟึดฟัดสูดกลิ่นของกริฟอยู่สักครู่ มันก็คำรามออกมาอย่างน่ากลัว กริฟตัดสินใจ หันหลังวิ่งสุดชีวิต ถึงจะรู้ว่าหนีไม่พ้นก็ตามที เขาเพิ่งจะสังเกตว่าร่างกายของเขา มันเบาหวิวผิดกับทุกที แถมหัวเข่ายังไม่ค่อยปวดตามที่ควรจะเป็นด้วย ถึงจะรู้สึกขัดๆอยู่บ้างเล็กน้อย กริฟวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เจ้าลิงยักษ์ตัวนั้นก็ตะครุบเขาไว้ได้ ด้วยมือข้างเดียว มันกำตัวเขาไว้ในมือแบบเดียวกับที่เด็กทารกกำตุ๊กตา กริฟพยายามดิ้นรนขัดขืนเต็มที่ เพื่อให้ตัวหลุดออกจากกำมือที่แข็งแกร่งดุจคีมเหล็กของมัน แต่ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์ มันจับเขาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก แล้วกระโดดกึ่งวิ่งกลับเข้าไปในป่า ท่าทางดีใจราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่

       

                  "ปล่อยฉันนะเจ้าลิงบ้า บอกให้ปล่อยไงเล่า โอ๊ย!"กริฟร้องเมื่อมันกำแน่นขึ้น ขณะที่เร่งความเร็วในการวิ่ง มันจะทำยังไงกับเขากันนะ เอาไปกินเหรอ หรือว่าจะเอาเล่นแบบเด็กเล่นตุ๊กตา ไม่ว่าจะยังไงเขาก็คงไม่รอดแน่ กริฟเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ตนไม่ได้อยู่ในโลกปกติธรรมดาแน่นอน เพราะไม่มีทาง ที่สัตว์ประเภทนี้ จะมีอยู่จริงได้โดยไม่เป็นข่าวดัง แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เขาคงไม่ได้มีชีวิตรู้คำตอบแน่ว่าที่นี้คือโลกอะไร

       

                  "ฮะ ฮะ(To^) ทำไมชีวิตของฉันมันสั้นจังเลยแหะ ถึงจะคิดเอาไว้แล้วก็เถอะว่าเราคงไม่ได้แก่ตาย แต่ถูกลิงยักษ์จับกินแบบนี้ มันผิดความคาดหมายไปหน่อยนะ"กริฟรำพึงกับชะตากรรมของตนเอง อย่างปลงตก แต่ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่ยอมรับเขาไปอยู่ด้วย เงาสีน้ำตาลแดงเงานึงของเสื้อผ้า เคลื่อนไหววูบวาบ ตัดผ่านป่าเหนือยอดไม้ ลอยละลิ่วมาเร็วดุจสายลม ลงมายืนอยู่หน้าเจ้าลิงยักษ์นั้น มันชะงักทันทีที่เห็นผู้ที่ขวางมันไว้

       

                  "ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะเสี่ยวติ้ง"ผู้ที่มาช่วยชีวิตของกริฟไว้ ตวาดเจ้าลิงยักษ์ด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ กริฟที่ใกล้จะหมดสติเพราะหายใจไม่ออก จากแรงบีบของเจ้าลิงปีศาจตัวนี้ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ห้ามมันเอาไว้และเรียกชื่อของมันราวกับเป็นเจ้าของ วินาทีที่กริฟสบตาของคนผู้นั้น โลกทั้งโลกก็ราวกับจะหยุดนิ่งลงในทันใด

       

                  ใบหน้ารูปไข่ที่ได้สัดส่วนของเธอนั้น งดงามได้รูปอย่างไร้ที่เปรียบ ผิวสีชมพูอ่อนเรื่อของวัยสาว เปล่งประกายประดุจไข่มุก คิ้วที่โค้งยาวได้สัดส่วน รับกับดวงตาที่สดใสของเธอราวกับอัญมณี ปากรูปกระจับสีแดงจางๆ ดูมีเสน่ห์เหลือจะกล่าว กริฟกล้าสาบานต่อทุกสรรพสิ่งที่เขารู้จักได้เลยว่า เขาไม่เคยพบพานสตรีคนใดในพิภพนี้ จะสง่างามไปกว่านี้อีกแล้ว กริฟพูดกับตัวเองเหมือนจะระเมอว่า

       

                  "เทพธิดา..เทพธิดามีจริงหรือเนี่ย"แล้วเขาก็สลบไป เพราะเจ้าลิงบ้านี้ เล่นทิ้งเขาลงกับพื้นดื้อๆ โดยเอาด้านหัวลง...

       

       

                  สิ่งแรก ที่ประสาทสัมผัสของกริฟรับรู้เมื่อได้สติ คือกลิ่นหอมที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ลอยโชยมาจากผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงที่เขานอนอยู่ กลิ่นหอมที่คล้ายกับดอกไม้ทำให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็มองเห็นใบหน้าของผู้ที่กริฟเรียกว่า "เทพธิดา"จ้องมองเขาด้วยแววตาที่เป็นห่วง

       

                  "เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง"เธอถามด้วยน้ำเสียงสดใสกังวาน เล่นเอากริฟตะลึงไปชั่วครู่เหมือนถูกสะกด จนเมื่อเธอถามย้ำอีกครั้ง กริฟถึงคล้ายรู้สึกตัว

       

                  "มะ ไม่เป็นไรครับ" กริฟตอบอย่างตะกุกตะกัก เขาลุกขึ้นมองดูรอบๆ มันเป็นห้องที่ทำจากไม้ไผ่ประกอบเข้าด้วยกัน ตามแบบฉบับของบ้านชาวจีนในสมัยโบราณ มีโต๊ะที่ทำจากไม้แกะสลักตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมชุดถ้วยน้ำชาจัดเรียงไว้บนโต๊ะ

       

                  "เรามีนามว่าหลิวเยี่ยน เป็นเจ้าสำนักกระบี่วารีบุปผา บนหุบเขาเทียนซานแห่งนี้ ต้องขออภัยด้วยที่สัตว์เลี้ยงในสำนักของเราหลบหนีออกไปนอกเขต และทำร้ายน้องชาย จนได้บาดเจ็บเช่นนี้ มิทราบว่าน้องชายมีชื่อแซ่กระไรรึ?"หลิวเยี่ยนถาม จากการเรียกสรรพนามแทนตัวกริฟว่าน้องนาย ทำให้เขาพึ่งสังเกตว่าหลิวเยี่ยนเป็นสาวสะพรั่ง อายุมากกว่าเขาราว4-5ปี กริฟอึกอักบอกไม่ถูก เมื่อโดนถามด้วยสำนวนที่ราวกับถอด มาจากนวนิยายจีนที่เขาอ่านเป็นประจำ เขานิ่งอยู่ครู่นึงค่อยตอบว่า

       

                  "ผม เอ๊ย ข้าน้อย มีนามว่ากริฟ ฟิคชั่นขอรับ"กริฟพยายามตอบด้วยสำนวนแบบเดียวกับหลิวเยี่ยน เมื่อได้ยินชื่อของเขา หลิวเยี่ยนก็แปลกใจถามต่อว่า

       

                  "กริฟ ฟิคชั่น? ชื่อแซ่แปลกนัก กริฟเป็นแซ่ ส่วนฟิคชั่น คือชื่อของเจ้างั้นรึ"หลิวเยี่ยนกล่าว กริฟนึกขึ้นได้ว่าตามหลักชาวจีนจะเรียกแซ่นำหน้าชื่อ เขาจึงชี้แจงว่า กริฟต่างหาก ที่เป็นชื่อของเขา

       

                  "เจ้าเรียกชื่อนำหน้าแซ่กระนั้นรึ น่าประหลาดนัก? ดูจากรูปร่างหน้าตาของเจ้าแล้ว ก็เหมือนชาวหยางทั่วๆไปนี่ เหตุใดถึงเรียกขานนามของตน ด้วยวิธีการของชาวตะวันตกเยี่ยงนี้ละ เจ้ามาจากไหนกัน"หลิวเยี่ยนซักต่อ กริฟเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดกับตัวเขา รวมถึงเรื่องที่อยู่ๆก็มาโผล่ที่นี้หลังจากนอนหลับไปแล้ว หลิวเยี่ยนจ้องมองดวงตาเขา ราวกับจะอ่านใจให้ได้ว่า เขาพูดจริง หรือโกหกกันแน่ เมื่อเห็นแววตาที่จริงจังของเขา เธอจึงเชื่อและพูดต่อว่า

       

                  "ถ้าเช่นนั้น คงมิเป็นอย่างอื่นแน่ เจ้าคือคนที่พวกเราเรียกขานกันว่า OutMen"หลิวเยี่ยนบอก

       

                  "Outmen? มันคืออะไรหรือครับ"กริฟถาม ทันใดนั้นเอง ก็มีสาวใช้คนนึงถือถาดใส่หม้อดิน เดินเข้ามาในห้อง

       

                  "ยาที่ท่านเจ้าสำนักสั่งไว้ ต้มเสร็จแล้วเจ้าคะ"เธอบอก แล้ววางหม้อดินใบนั้นลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยืนรอคำสั่งต่อไป หลิวเยี่ยนจึงให้เธอไปทำงานอย่างอื่นก่อน หากมีอะไรจะเรียกใช้อีกที เธอจึงโค้งคำนับ แล้วออกจากห้องไป

       

                  "กินยาเสียก่อนเถอะ แล้วเราจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง ร่างกายของเจ้าบอบช้ำมิใช่น้อย จากกำลังของเสี่ยวติ้ง"หลิวเยี่ยนพูดจบ ก็เดินไปจะหยิบถ้วยยามาป้อน แต่กริฟบอกว่าตนไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก และจะลุกไปหยิบยาเอง แต่ทันทีที่เขายืนขึ้น สีข้างเขาก็ปวดแปลบอย่างแรง จนร้องออกมาเบาๆ

       

                  "อย่าพึ่งฝืนเลย แรงบีบของเสี่ยวติ้งหาใช่เบาไม่ แม้แต่สัตว์ร้ายหรือปีศาจ ก็ล้วนสิ้นชีพด้วยมือของมันมามาก อันที่จริง มันไม่เคยทำร้ายคนในสำนักบาดเจ็บเลย  เมื่อมันเห็นน้องชายเป็นคนแปลกหน้า คงคิดจะหยอกเล่นกระนั้นมั้ง"หลิวเยี่ยนกล่าว แล้วก็ประคองตัวเขากลับลงไปนอนที่เตียง จากนั้นจึงป้อนยาให้ รสขมฝาดของยา ทำให้กลืนยากอยู่บ้าง แต่ในเมื่อหลิวเยี่ยนมีน้ำใจแก่เขา กริฟจึงใช้เวลาไม่นานเลยในการกินยาหม้อนั้นจนหมด แล้วจึงเอนตัวกลับลงไปนอน

       

                  "อาจารย์ของข้า เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องของโลกอีกโลกนึง ที่มีความแตกต่างจากโลกของเรา  ท่านกล่าวว่า มีบางครั้งที่ผู้ดำรงอยู่ในโลกนั้น จะข้ามผ่านมายังดินแดนของพวกเราได้ ผ่านทางความฝันในยามนิทรา คนเหล่านี้ถูกเรียกขานด้วยภาษาของชาวต่างชาติว่า Outmen(ผู้มาจากด้านนอก) เช่นเดียวกับที่พวกOutMenก็พากันเรียกโลกของเราว่าGreatDreamsLand(ดินแดนแห่งความฝันอันกว้างใหญ่) ข้าเองหาได้ออกท่องไปในยุทธภพมากนัก จึงไม่เคยพบพานOutmenเลย มีเจ้าเป็นคนแรกนี้แหละ ที่ข้าเคยเห็น"เมื่อเล่าจบ หลิวเยี่ยนก็บอกให้กริฟนอนพักผ่อนเสียก่อน หากต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถเรียกใช้ ฟงอี้ สาวใช้ที่เป็นคนยกถาดยาเข้ามาได้ จากนั้นนางก็ออกจากห้องไป จะด้วยฤทธิ์ยาหรือความอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่ประสบก็สุดจะทราบได้ ทำให้กริฟหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว...

       

       

                  เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม กริฟก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดตามตัวหายไปราวกับปลิดทิ้ง เขาลุกขึ้นมาเดินออกไปจากห้อง ผ่านประตูที่เป็นผ้าคลุมซ้อนทับกั้นเอาไว้เท่านั้น บ้านหลังนี้ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ผ่านพ้นออกมาสู่ข้างนอก

       

                  "ว้าว! บรรยากาศเหมือนในหนังจีนเลย"กริฟอุทานเมื่อเห็นสภาพภายนอก กระท่อมที่เขาเพิ่งออกมา ตั้งอยู่กลางป่าไผ่จีน ที่ขึ้นเรียงรายอยู่โดยรอบ ห่างออกไปไม่ไกลนักทางด้านซ้ายมือ มีกำแพงหินสีแดงสูงไม่ต่ำกว่า7เมตร ตั้งตระหง่านยาวล้อมรอบป่าไผ่ไว้ มีประตูไม้ขนาดใหญ่ แบบที่เห็นในหนังจีนแทรกอยู่กลางกำแพง  และมีชายสวมชุดสีน้ำตาลคาดผ้ารัดศีรษะสีเขียว ยืนถือกระบี่เฝ้าเอาไว้หน้าประตูทางด้านนอก เมื่อกริฟเดินอ้อมออกมาทางขวา เขาก็มองเห็นป่าไผ่ทอดยาวไป จนถึงกำแพงอีกชั้น ที่โอบล้อมหมู่ตึกหินอ่อนสีขาว ซึ่งก่อสร้างแกะสลักได้อย่างสวยงาม เหมือนพระราชวังของจีน จากตำแหน่งที่กริฟอยู่ในตอนนี้ เขาคะเนว่า คงจะเป็นด้านหลังของสำนักแน่ และพี่ชายรูปร่างล่ำสันสองคนที่เขาเห็น คงเป็นผู้เฝ้าประตูหลัง ว่าแต่หลิวเยี่ยนตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน

       

                  "(แปลกแหะ ปกติเจ้าสำนักมักจะอยู่ในบ้านหลังใหญ่โออ่า ทำไมพี่หลิวเยี่ยนถึงได้มาอยู่ในกระท่อมเล็กๆแค่นี้กัน)"กริฟสงสัย จากนั้นเขาก็เดินเล่นดูที่นี้ไปเรื่อยๆจนผ่านกรอบประตูหินในกำแพงเข้ามา เขาก็เห็นกลุ่มคนไม่น้อยกว่า500คนที่แต่งกายแบบเดียวกับคนที่เฝ้าประตู กำลังร่ายรำเพลงกระบี่อย่างพร้อมเพียงกัน บนลานหินทรงกลม

       

                  "ยอดเลยไปเลย(O_O) วิทยายุทธที่แท้จริง มันเป็นแบบนี้เองเหรอ ดูพริ้วไหว ว่องไว แต่ทรงพลังจริงๆผิดกับการแสดงที่เห็นในทีวีเลยแหะ"กริฟยืนนิ่งดูการฝึกซ้อมของคนเหล่านั้นโดยไม่ส่งเสียงรบกวน  สักพักก็มีใครในนั้นสังเกตเห็นเขา หยุดการฝึกซ้อมชี้มาที่กริฟ

       

                  "เจ้าเป็นใครกัน ผู้บุกรุกรึ!"ชายผู้นั้นกล่าว คนทั้งหมดที่กำลังฝึกซ้อมอยู่หันมามองกริฟเป็นตาเดียว ก่อนที่กริฟจะทันชี้แจงอะไร ก็มีใครในกลุ่มสักคนขว้างกระบี่มาที่เขา

       

                  "แย่แล้ว!"กริฟคิดได้เท่านั้น ปลายกระบี่ก็พุ่งทะยานแหวกอากาศอย่างรวดเร็วมาจ่อถึงคอเขาแล้ว ว่ากันว่าชั่วเสี้ยววินาทีที่คนจะตายจะสามารถมองเห็นอดีตของตนได้นั้น ตอนนี้กริฟรู้แล้วว่ามันเป็นจริง ภาพชีวิต15ปีที่ผ่านมาหลั่งไหลผ่านสมองของเขาดุจสายน้ำ ความรู้สึกสุดท้ายที่เขาสำนึกได้ก็คือ 

      ..........."(ไม่นะ! ฉันยังไม่อยากตาย)"ฉับพลันคมกระบี่ที่น่าฝังลงบนอกเขา ก็ทะลวงผ่านเลยร่างของเขาไป เหมือนกับภาพลวงตา อย่าว่าแต่ผู้ที่ขว้างมันมาจะตกใจเลย กริฟเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า มันเป็นเพราะอะไร รู้เพียงอย่างเดียวว่า ตอนนี้เขารอดตายแล้ว แต่คงจะไม่นานนัก เมื่อเหล่าศิษย์ในสำนักแห่กันมาล้อมเขาไว้

       

                  "เจ้าเป็นคนของสำนักไหนกัน ถึงใช้วิชาประหลาดดุจวิชาของพรรคมารเช่นนี้ได้"ผู้ที่ถามเขาเป็นชายผอมบาง ตาตีบ แก้มตอบ หางคิ้วเฉียงยาวดูเจ้าเล่ห์ยังไงไม่รู้ ใช้กระบี่ชี้หน้าของเขา 

       

                  "เปล่าครับ ผมไม่ใช่คนของสำนักไหน คือผม โอ๊ย!"กริฟกำลังจะบอกว่า ตนเป็นคนที่หลิวเยี่ยนพามารักษาอาการบาดเจ็บจากเจ้าลิงยักษ์ แต่หัวเข่าของเขาก็ปวดแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรง จนต้องหย่อนขาลงมาคุกเข่ากับพื้น 

       

                  "(เราไม่ได้วิ่งแรงๆนี่ ทำไมถึงปวดแบบนี้นะ)"กริฟคิด ต่อมาในภายหลังเขาถึงได้รู้ว่า มันเป็นผลข้างเคียงของการใช้Original Skill(ความสามารถพิเศษ เฉพาะตัว) เรียกย่อๆว่าOs ซึ่งเป็นพลังพิเศษ ที่เกิดจากความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าในบางอย่างของOutmen ที่เข้ามาในโลกGDLแห่งนี้ โดยจะมีผลเสียหรือผลกระทบบางอย่างเกิดขึ้น เป็นการชดเชย

       

                  "ผมถูกลิงยักษ์จับมานะครับ แล้วพี่หลิวเยี่ยนก็มาช่วยผมไว้ ผมไม่ใช่คนร้ายอะไรนะครับ"กริฟอธิบาย แต่ดูเหมือนชายที่ถามเขาจะไม่เชื่อ

       

                  "โอหัง กล้าเรียกชื่อเจ้าสำนักตรงๆ แถมยังโกหกหน้าด้านๆว่าถูกเสี่ยวติ้งจับมา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าต้องตายไปแล้ว เห็นทีถ้าไม่ใช่กำลังคงไม่ยอมสารภาพความจริงสินะ"ว่าแล้วชายคนนั้นก็ควงกระบี่จู่โจมเข้ามา แต่ก่อนที่กริฟจะได้รับอันตรายใดๆ ก็มีใบไผ่ใบนึง พุ่งกระแทกกระบี่ของชายผู้นั้น เสียงดังแกร๊งราวกับของแข็ง จนกระบี่กระเด็นหลุดมือลอยไปไกล พร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าสำนัก

       

                  "เจ้าจะทำอะไรนะ หลี่ไคว้"หลิวเยี่ยนกล่าวช้าๆเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยกระแสพลังที่ทรงอำนาจ กดดันไปทั่วบริเวณนี้ ศิษย์ทุกคนพากันก้มลงคุกเข่าคารวะเจ้าสำนักหมด ยกเว้นแต่หลี่ไคว้ที่หน้าซีด เพราะเริ่มรู้สึกแล้วว่า ตนอาจเป็นฝ่ายผิดก็ได้ รีบตอบตะกุกตะกัก ว่า

       

                  "คะ...คือ ศิษย์พบผู้บุกรุก กำลังจะจับตัวมันไปสอบสวนนะครับ"เขาบอก พลางชำเลืองตาไปมองกริฟ

       

                  "เหลวไหล เด็กคนนี้ถูกเสี่ยวติ้งทำร้ายบาดเจ็บ ข้าจึงพาตัวเขามารักษา เมื่อเช้าข้าก็ให้ฟงอี้ไปแจ้งเรื่องนี้แก่ เหล่าศิษย์เอกทั่วทั้งสำนักให้ทราบไว้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่รู้ในเรื่องนี้อีก"หลิวเยี่ยนตำหนิหลี่ไคว้

       

                  "ศะ...ศิษย์ขออภัยครับ พอดีเมื่อเช้าศิษย์ได้ลงไปทำธุระในเมือง จึงไม่ได้รู้เรื่องนี้ครับ"หลี่ไคว้แก้ตัว ธุระที่เขาว่าแท้จริงก็คือ การแอบหนีไปเที่ยวบ่อนการพนัน แต่เรื่องแบบนี้ จะให้เขากล้าบอกเจ้าสำนักได้อย่างไร หลิวเยี่ยนจึงลงโทษสถานเบาในความวู่วามของเขา โดยให้ไปทำความสะอาดห้องโถงใหญ่ในสำนักเป็นเวลา1เดือน แล้วจึงพากริฟเข้าไปในห้องยาภายในสำนัก เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บอีกครั้ง หลังจากที่ฝังเข็ม เพื่อระงับอาการปวดที่เข่าแล้ว หลิวเยี่ยนก็ตำหนิกริฟเช่นกัน ที่เดินเพ่นพ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต และแอบดูการฝึกยุทธของคนในสำนัก

       

                  "ขอโทษด้วยครับ คือผมไม่เห็นใครในกระท่อมนั้น ก็เลยเดินเล่นเรื่อยเปื่อยจนไปเห็นพวกเขาฝึกวรยุทธอยู่นะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูเลยครับ เพียงแต่ผมชอบวิทยายุทธมานานแล้ว"กริฟสารภาพถึงสาเหตุที่ออกมาโดยพลกาล แล้วเขาก็ตัดสินใจ คุกเข่าลงกับพื้นตามธรรมเนียม ขอให้หลิวเยี่ยนรับเขาเป็นศิษย์ด้วย

       

                  "เจ้าต้องการฝึกยุทธเพื่ออะไร"หลิวเยี่ยน ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ผิดกับปกติ กริฟจึงเล่าถึงเรื่องสุขภาพที่ไม่ค่อยดีของเขา และความใฝ่ฝันที่จะเป็นจอมยุทธเพื่อท่องไปในโลกกว้างได้ตามลำพัง

       

                  "ข้ามีศิษย์มามากมาย แต่ละคนล้วนมีเหตุผลต่างกันที่มาฝึกยุทธ บ้างก็อยากแข็งแกร่ง บ้างก็ต้องการชื่อเสียง แต่คนที่อยากฝึกยุทธเพื่อให้ตัวเองท่องเที่ยวไปได้ทั่วโลก พึ่งมีเจ้าเป็นคนแรกนี่แหละ(^_^)"พูดจบ หลิวเยี่ยนก็ยิ้มออกมา กริฟมีความรู้สึกคล้ายกับหัวใจกระตุกแปล๊บ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเธอ

       

                  "เอาเถอะ การที่เรามาพบกันได้ด้วยเหตุบังเอิญนี้ อาจเป็นเพราะลิขิตสวรรค์ก็เป็นได้ เจ้าคุกเข่าคำนับข้า3ครั้ง แล้วเราก็จะเป็นศิษย์อาจารย์กัน"หลิวเยี่ยนบอก กริฟทำตามทันทีโดยไม่ลังเล นับตั้งแต่นั้น การฝึกฝนของเขาก็เริ่มต้นขึ้น...

       

                  วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่กริฟเข้ามาในโลกGDLแห่งนี้ได้ ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว หลิวเยี่ยนได้สอนเขามากมาย ตั้งแต่พื้นฐานของวิชาลมปราณและหลักปรัชญาของสำนัก พลังภายในของเขารุดหน้าไปอย่างน่าตกใจ ถึงแม้จะยังไม่ได้ เรียนส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนท่าก็เถอะ หลิวเยี่ยนสอนว่า โดยพื้นฐานแล้ว วิชาต่อสู้ทุกแขนงล้วนกำเนิดมาจากการสังเกตธรรมชาติ และปรับเคลื่อนไหวร่างกาย จิตใจ ให้สอดคล้องกับธรรมชาตินั้นๆ ปรมาจารย์ของสำนักกระบี่วารีบุปผาก็เช่นกัน ท่านบัญญัติวิชายุทธขึ้นมา จากการนั่งสังเกตกลีบดอกไม้ที่ล่องลอยไปตามสายธาร จนสร้างเพลงกระบี่ ที่มีความต่อเนื่องดุจสายน้ำ พลิ้วไหวเหมือนดอกไม้ แต่ทรงพลานุภาพอย่างไร้ขอบเขต  ดังนั้นนางจึงเน้นย้ำอยู่เสมอว่า ขอเพียงใส่ใจหมั่นฝึกฝนพื้นฐานให้มั่นคง แม้จะไม่รู้ท่าร่างใดๆเลย ก็อาจสรรค์สร้างวิชายุทธขึ้นมาเองก็เป็นได้ กริฟจึงหมั่นทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้อยู่เสมอแม้จะเป็นในโลกแห่งความจริงก็ตาม ทว่า ไม่ว่ากริฟจะพยายามทำตัวดียังไง ก็ไม่ค่อยมีศิษย์คนอื่นกล้ามาคบหากับเขา เพราะเกรงศิษย์พี่หลี่ไคว้จะเขม่นเอา เนื่องจากไม่พอใจกริฟ ที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเสียหน้าในวันที่พบกันเป็นครั้งแรก  แต่หลี่ไคว้ก็ไม่กล้าเล่นงานกริฟตรงๆด้วยกลัวบารมีเจ้าสำนัก

       

                  "พวกเจ้ารู้หรือไม่ จุดสูงสุดของวรยุทธคืออะไร?"หลิวเยี่ยน ถามศิษย์ทุกคนขณะที่กำลังเรียนหลักปรัชญาอยู่ มีหลายคนนึกคำตอบได้ แต่ไม่กล้าตอบ เนื่องจากเกรงใจพวกศิษย์พี่ หลี่ไคว้ลุกขึ้นตอบด้วยความมั่นใจว่า

       

                  "จุดสูงสุดของวรยุทธก็คือ ไร้กระบี่พิชิตกระบี่ ซึ่งก็คือ ใช้เพียงร่างกายเปล่าๆ เอาชนะผู้มีศาสตราวุธได้ครับ"หลี่ไคว้กล่าว แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง หลิวเยี่ยนจึงลองถามความคิดของกริฟดูบ้าง

       

                  "เอ่อ ผมว่า ทางที่ดีควรยุติปัญหา โดยไม่ต้องสู้กันเลย จะดีกว่านะครับ"กริฟตอบ อย่าว่าแต่หลี่ไคว้เลย ศิษย์เกือบทั้งหมดยังพากันหัวเราะ เยาะเย้ยในความคิดของกริฟว่า ถ้าเช่นนั้นจะฝึกวรยุทธไปทำไมกัน แต่หลิวเยี่ยนกลับยินดีในคำตอบของกริฟยิ่งนัก

       

                  "ประเสริฐแล้ว สิ่งที่กริฟกล่าว นี่แหละคือจุดสุดยอดของวรยุทธ ผู้คนทั่วหล้ามักคิดว่าไร้กระบี่พิชิตกระบี่ ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวรยุทธแล้ว  แต่แท้จริงจุดสูงสุดของวรยุทธคือการสยบปัญหาทั้งปวงโดยไม่ต้องทำร้ายซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ไม่ใช้ยุทธก็สยบยุทธได้นั้นเอง"หลิวเยี่ยนบอก ทุกคนพากันไม่เข้าใจในความหมายของนาง หลิวเยี่ยนจึงอธิบายว่า โดยใจความหลักของการทำร้ายเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ล้วนมีมูลเหตุมาจากความขัดแย้ง จึงต้องการระงับปัญหาด้วยการใช้กำลังซะ ทั้งที่ในความเป็นจริง วิธีแก้ไขโดยมิต้องสู้นั้น มันมีมากมายสุดแต่ปัญญาจะนึกออก การสยบอีกฝ่ายโดยไม่ต้องสู้ จึงเป็นจุดมุ่งหมายของศาสตร์ต่อสู้ที่แท้จริง แม้หลิวเยี่ยนจะชี้แนะอย่างละเอียดเช่นนี้ กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่เชื่อถืออยู่ดีว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะชนะผู้ที่ต้องการสู้โดยไม่สู้ และ1ในผู้คิดเช่นนั้นก็คือหลี่ไคว้นั่นเอง...

       

                  "ดาบเล่มนั้นเป็นของใครหรือครับอาจารย์"กริฟถามในวันนึง ขณะที่ฝึกซ้อมท่าร่างพื้นฐาน8ประการ รุก รับ ย้าย ปัด  เคลื่อน หลบ สงบ นิ่ง  อันเป็นหัวใจของเพลงยุทธสำนักวารีบุปผา ดาบที่กริฟถามถึงคือดาบที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ มันถูกแขวนเอาไว้ข้างฝาผนังคู่กับกระบี่ไม้ อันเป็นอาวุธประจำตัวของหลิวเยี่ยน โดยรูปทรงของมันโค้งยาวเรียวบางแบบเดียวกับดาบญี่ปุ่น อยู่ในฝักโลหะสีเงินมีลวดลายแปลกประหลาดสลักอยู่โดยรอบ สาเหตุที่กริฟถาม เพราะเขาไม่เคยเห็นใครในสำนักนี้ใช้มันเลยแม้แต่หลิวเยี่ยน

       

                  "มันเป็นศาสตราที่ไร้เจ้าของ และไร้นาม จากคำบอกเล่าต่อๆกันมา นานมาแล้วในสมัยที่ท่านปรมาจารย์ได้ก่อตั้งสำนักขึ้นเมื่อ500ปีก่อน ได้มีสหายผู้มีผมสีทองคนนึงมอบให้แก่ท่าน กล่าวว่ามันเป็นอาวุธที่จะเลือกผู้เป็นนายแก่ตัวมันเองได้ สหายผู้นั้นยังบอกอีกว่าหากวันใดมีผู้ที่สัมผัสมันแล้วได้ยินเสียงของสายลม ยามนั้นจะเป็นวันที่มันมีเจ้าของเสียที ท่านปรมาจารย์ได้รับมันเอาไว้ แต่ก็ไม่เคยได้ยินเสียงของสายลมและชักมันออกจากฝักเลย กว่า500ปีมานี้ มีผู้สัมผัสแตะต้องมันมากมาย แต่ก็หามีใครได้ยินเสียงที่ว่าไม่  มันจึงเป็นอาวุธที่ไร้นาม และไร้เจ้าของจวบจนทุกวันนี้" พูดจบ หลิวเยี่ยนก็ใช้พลังลมปราณ ดึงมันลงมาจากข้างฝา ส่งให้กริฟไปลองดึงดู ไม่ว่ากริฟจะออกแรงมากแค่ไหนก็ดึงมันไม่ออกเลย

       

                  "ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็มิใช่นายของมันเช่นกัน เอาเถอะฝึกต่อได้แล้ว" นางรับดาบคืน แล้วส่งมันกลับไปยังที่เดิม กริฟฝึกต่อแต่ติดขัดในท่าๆนึง ถึงหลิวเยี่ยนจะอธิบายยังไง ก็ดูเหมือนว่ากริฟจะทำไม่ถูกต้อง หลิวเยี่ยนจึงเข้าไปจับมือและแขนของกริฟ แนบชิดร่างกายเข้าทางด้านหลังของเขา ปรับกระบวนท่าให้ถูกต้อง

       

                  "เจ้าต้องสะบัดแขนไปทั้งหมด แบบนี้"หลิวเยี่ยนบอก กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ทำให้สมาธิของกริฟกระเจิดกระเจิงไปหมด ถึงหลิวเยี่ยนจะเป็นอาจารย์ที่ดี แต่ในเรื่องทางโลก นางกลับไม่ประสีประสามากนัก คงเป็นเพราะตั้งแต่สมัยที่เจ้าสำนักคนก่อนเก็บนางซึ่งเป็นเด็กกำพร้ามาเลี้ยงไว้ ก็สอนแต่วรยุทธ และหลักจรรยาของชาวยุทธ ทำให้นางไม่รู้ตัวเลยว่า บัดนี้ ตนเองกำลังให้ความสนิมสนมเป็นพิเศษ กับเด็กชายผู้นี้มากกว่าความเป็นศิษย์อาจารย์...

       

                  ว่ากันว่า ความสุขของคนเรามักไม่จีรัง เท่าๆกับที่ความทุกข์ไม่ยั่งยืนนาน ไม่มีใครสักคนในสำนักจะเอะใจเลยว่า การที่หลี่ไคว้ แอบออกนอกสำนักไปโดยไม่แจ้งแก่ใคร บ่อยขึ้นเรื่อยๆ และนานขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะเป็นที่รู้กันดีในหมู่ศิษย์ว่านิสัยติดการพนันของเขาแก้ได้ยาก  หากแต่มันหาใช่ความจริงไม่!

       

                  กริฟจำวันนั้นได้ดี วันที่พระจันทร์บนฟ้าส่องกระจางแจ้ง ได้สว่างสดใสบดบังแสงดาวจนหมดสิ้น กลุ่มคนชุดแดงที่สวมหน้ากากไม้รูปอสูรเกือบพันคน ได้บุกมาถล่มสำนักของเขา แน่นอนศิษย์ทุกคนล้วนสู้สุดชีวิตไม่มีใครยอมถอยเพื่อปกป้องสำนัก  แต่ก็มิอาจต่อต้านพวกมันได้นานเกินชั่วยาม ไม่ใช่เพราะกำลังคนที่มากกว่า หรืออาวุธสงครามของชาวตะวันตกที่มีทั้งหุ่นรบและปืนกลที่พวกมันใช้ แต่เป็นเพราะยาพิษ! ใช่ มีคนวางยาพิษลงในอาหาร ของศิษย์ทุกคนในสำนัก ทั้งที่มีการระวังป้องกันเป็นอย่างดีแล้วโดยเหล่าศิษย์เอกของสำนัก ทว่า ผู้ที่วางยาพิษ กลับเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของสำนัก หลี่ไคว้ หรืออีกชื่อนึง หลี่เซิ่น บุตรชายของประมุขพรรคอสูรทมิฬ และเป็นหัวหน้าสาขาที่5ของพรรคอสูรทมิฬอีกด้วย บิดาของมันได้ปลอมตัวเป็นชาวนายากจน และฝากมันให้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วารีบุปผา ที่เป็นปรปักษ์กับพรรคมารมายาวนาน โดยหวังให้เป็นไส้ศึก หลี่เซิ่นใช้เวลากว่าสิบปี สร้างความไว้วางใจแก่เจ้าสำนักคนก่อน และเจ้าสำนักคนปัจจุบันหลิวเยี่ยน จนสามารถสืบรู้ที่เก็บคัมภีร์ยุทธลับของสำนัก "พันธะดับสูญ"อันไร้เทียมทาน ที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ จึงได้นัดแนะกับพลพรรคบุกขึ้นมาในวันนี้ เรื่องที่ว่ามันแอบหนีไปเล่นการพนันบ่อยๆนั้น เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อคอยส่งข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่คนของมัน ที่แอบแฝงอยู่ในบ่อน

       

                  "ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะทรยศต่อสำนัก หลี่ไคว้ ไม่สิ ต้องเรียกว่าหลี่เซิ่นสินะ"หลิวเยี่ยนกล่าว ตอนนี้คนในสำนักที่ยังมีลมหายใจอยู่ มีเพียงกริฟและหลิวเยี่ยนเท่านั้น เพราะอาหารที่นางทานเป็นฝีมือของนางเอง และมักจะทำให้กริฟกินด้วยเป็นประจำ ทำให้ไม่ทั้งคู่ไม่ถูกพิษ แต่ดูเหมือนคน2คน กับพรรคมารนับพัน จะเป็นอัตราส่วนที่แตกต่างกันเกินไป อีกทั้งฝีมือที่แท้จริงของ หลี่เซิน ก็สูงส่งจนน่ากลัว ต่อให้เป็นการประลองตัวต่อตัว ก็ไม่แน่ว่าหลิวเยี่ยนจะเอาชนะมันได้โดยง่าย

       

                  "ยอมแพ้เสียเถอะหลิวเยี่ยน ถ้าเจ้ายอมมาเป็นผู้หญิงของข้า ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้าก็ได้นะ"มันพูด พร้อมกับแสยะยิ้ม อย่างน่ารังเกียจ หลิวเยี่ยนไม่ตอบใช้พลังปราณบังคับกระบี่ฟาดฟันไปทั่วทุกทิศ ฉีกร่างของพวกปลายแถวพรรคมารที่เข้ามาล้อม ล้มตายหลายสิบคนในคราเดียว หลี่เซิ่นเห็นแน่แล้วว่านางปฏิเสธความหวังดีของมัน จึงชักดาบยักษ์ ยาวกว่า3เมตร มีด้ามจับทำจากกระดูกของมนุษย์ ฟาดฟันเข้าใส่หลิวเยี่ยน การจู่โจมผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า ผลแพ้ชนะหาออกมาไม่ หลี่เซิ่นจึงเปลี่ยนวิธี โจมตีใส่กริฟแทน เพราะรู้ว่านางต้องช่วยเขาแน่ ซึ่งมันก็ได้ผล นางเสียสมาธิช่วยกริฟทำให้เผยช่องโหว่ จนถูกหลี่เซิ่นฟันเฉี่ยวเข้าที่ท้อง เลือดสดๆไหลทะลักออกมาแดงฉานไปทั่ว

       

                  "บัดซบ"กริฟ ตะโกนออกมา โทสะทำให้เขาตัดสินใจเสี่ยงตาย พุ่งกระบี่ไปเล่นงาน ที่ดวงตาของหลี่เซิ่น ในจังหวะที่มันฟันอาจารย์ของเขา เพราะความประมาท กระบี่จึงเจาะเข้าไปที่ตาซ้ายของมันอย่างถนัดถนี่ หลี่เซิ่นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ใช้คลื่นกระแทกของพลังดาบ อัดกริฟและหลิวเยี่ยนที่บาดเจ็บให้กระเด็นถอยห่างไปไกล กริฟไม่สนใจต่ออาการบาดเจ็บของตนเข้าไปประคองอาจารย์ ร่างของนางเริ่มเย็นเฉียบลงไปทุกขณะ กริฟมองไปรอบด้านอย่างมืดมน หาทางฝ่าออกไปไม่ได้ พรรคอสูรทมิฬเล็งปืนและอาวุธยิงระยะไกลทุกชนิดมาที่เขา พริบตาเดียวเท่านั้นก่อนที่พวกมันจะยิง ผู้ที่จะช่วยเหลือเขาได้ก็โผล่ออกมา

       

                  "เสี่ยวติ้ง!"กริฟร้อง ลิงยักษ์ที่เคยจับกริฟไปเล่น และอยู่กับเขาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจนสนิทและรู้ใจกันดียิ่งกว่าสหายที่เป็นมนุษย์ตัวนี้ กระโดดเข้ามากลางวงล้อมพร้อมร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด มันอุ้มทั้งเขาและหลิวเยี่ยน กระโดดฝ่าหนีออกไป แม้เหล่าพลพรรคอสูรทมิฬจะยิงโจมตีตามไป แต่ด้วยพลังแห่งOsที่OutMenอย่างกริฟมี คือพลังในการหลบหลีกการโจมตีทุกอย่างโดยสมบูรณ์แบบ แลกกับความเจ็บปวดที่เข่าจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ทำให้กระสุนเลยผ่านไป ไม่เป็นอันตราย เสี่ยวติ้งพากริฟหนีออกมาได้ไกลหลายร้อยลี้ ด้วยพลังชีวิตทั้งหมดที่มัน จนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว จึงค่อยๆ วางกริฟกับหลิวเยี่ยนลง แล้วทรุดตัวลงนอนแน่นิ่งไปกับพื้น สิ้นใจตายไป เพราะพิษบาดแผลที่ถูกทำร้ายจากต่อสู้กับพวกพรรคมาร เพื่อเข้าไปช่วยกริฟ   

       

                  "ขอบใจมากเสี่ยวติ้ง(T_T)"กริฟบอกลาเพื่อนของตน หลิวเยี่ยนกระอักเลือดออกมาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับกริฟ เขาฉีกเสื้อผ้าของตน มัดปิดปากแผลของเธอเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

       

                  "กะ..กริฟ ฟังคำสั่งของข้าให้ดี"หลิวเยี่ยน พูดออกมาอย่างยากลำบาก กริฟประคองอาจารย์เอาไว้อุ้มนางหาทางเข้าไปในเมืองเพื่อหาหมอ แต่ดูเหมือนขาของเขา จะใช้การไม่ได้เสียแล้วเพราะผลกระทบในการใช้Os

       

                  "ศิษย์ฟังอยู่ครับอาจารย์ อาจารย์จะต้องไม่เป็นไรแน่ อาจารย์จะต้องไม่ตาย"กริฟบอก มือสั่นของเขาสั่นเทาไม่หยุด เลือดอันร้อนผ่าวของนางยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ เขาฝืนวิ่งหาทางเข้าเมือง แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ

       

                  "ไม่มีประโยชน์หรอกกริฟ อาจารย์รู้ตัวเองดี เวลาของข้าจะหมดลงแล้ว หากแต่มีบางอย่างจะขอร้องเจ้า"หลิวเยี่ยนกล่าว กริฟตกลงรับปากทุกอย่าง ขอเพียงแต่อย่าให้เธอตัดใจเสียก่อน

       

                  "เรื่องแรก เจ้าไม่จำเป็นต้องชิงเอาคัมภีร์กลับมาหรอก มันเป็นของพรรคมารอยู่แล้วแต่เดิม เจ้าสำนักรุ่นก่อนเพียงแค่ยึดมันมาเก็บซ่อนไว้จากพวกพรรคมารมิใช่ไว้ฝึกฝนเอง ด้วยเพราะเนื้อหาวิชาโหดเหี้ยมนัก ข้อสองจงอย่าให้ดาบไร้นามอยู่ในความครอบครองของพวกมัน เพราะเจ้าของที่แท้จริงของมัน คงหาใช่คนโฉดชั่วไม่ ข้อสามจงเก็บกระบี่ของข้าไว้ใช้ ให้อยู่ข้างกายของเจ้าเสมอ และเรื่องสุดท้าย แค่กๆ"นางกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง กริฟหยุดวิ่งนั่งลงเช็ดเลือดที่ไหลออกมาอย่างสิ้นหวัง ความโศกเศร้า เคียดแค้น ชิงชัง ท่วมท้นไปทั่วหัวใจของเขา

       

                  ."อย่าแก้แค้น กริฟ วรยุทธไม่ใช่สิ่งที่จะเอาไว้ล้างแค้น ความแค้นก่อเกิดความทุกข์ ความทุกข์ก่อเกิดความเศร้า เจ้าไม่เหมาะกับการแก้แค้น เพราะข้าไม่อยากเห็นเจ้าโศกเศร้า"หลิวเยี่ยนพูด พร้อมกับเอามือลูบไล้ใบหน้าของกริฟ เขาจับมือเธอไว้แน่นรับปากทุกอย่าง

       

                  "ข้ารับปากอาจารย์ ทุกสิ่งที่ท่านสั่งข้าจะทำให้ได้ ท่านอย่าตายนะ ข้า.."กริฟจะสารภาพความในใจของตนกับหลิวเยี่ยน นางเอานิ้วแตะที่ปากของเขาเชิงห้าม แล้วพูดเป็นครั้งสุดท้าย

       

                  "ข้ารู้กริฟ รู้มานานแล้ว เพราะข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน"แล้วมือของนางก็ตกลงข้างตัว ไม่ไหวติงอีกชั่วนิรันด์ กริฟพูดกับนางแม้รู้ว่าเธอจะไม่ได้ยินแล้วก็ตาม

       

                  "ข้ารักท่าน หลิวเยี่ยน"แล้วน้ำตาของกริฟก็หลั่งไหลออกมาเงียบๆ กอดร่างเธอไว้แน่นไม่ขยับไปไหนอีก...

       

       

                                            [center][b][u]_______________7ปีผ่านไป______________[/u][/b][/center]

       

                  ณ หุบเขาเทียนซาน ซึ่งครั้งนึงเคยเป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่วารีบุปผามาก่อน บัดนี้กลายเป็นที่ตั้งของตำหนักอสูรคำรณ สาขาใหญ่ของพรรคอสูรทมิฬ โดยมีหลี่เซิ่น ที่ตอนนี้กลายเป็นประมุขของพรรคมาร แทนที่บิดาของตนที่มันสังหารซะเพื่อยึดอำนาจ ปกครองอยู่ ด้วยไพร่พลที่มีจำนวนมหาศาล ทำให้มันเป็นภัยใหญ่หลวงต่อยุทธภพ  แม้แต่พรรคฝ่ายธรรมะที่ยิ่งใหญ่เกือบทั้งหมดในประเทศหยาง จะรวมตัวกันบุกโจมตีหลายต่อหลายครั้ง ผลที่ออกมาล้วนเป็นความปราชัยที่น่าสมเพชยิ่งนัก ทำให้พวกมันฮึกเหิมถึงขนาดคิดก่อการใหญ่ เตรียมยึดครองแผ่นดิน ล้มล้างราชวงศ์โดยเร็ววัน

       

                  "ประมุขหลี่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร คู่ฟ้าดิน"เสียงสรรเสริญเยินยอจากเหล่าหัวหน้าสาขาดังก้องกังวาน ไปทั่วตำหนัก หลี่เซิ่นยิ้มย่องด้วยความลำพองใจว่า ดูเหมือนจะไม่มีใครในใต้หล้านี้ ยิ่งใหญ่ไปกว่าเขาอีกแล้ว วันนี้เหล่าลูกน้องของมัน มาร่วมอวยพรในงานวันเกิด แย่งกันประจบสอพลอ เอาอกเอาใจหลี่เซิ่นด้วย ทรัพย์สมบัติและสาวงามที่พวกมันปล้นชิงมาได้ โดยหาสำเหนียกไม่ว่า ความยิ่งใหญ่ของพวกมันจะจบสิ้นลงในวันนี้

       

                  "แย่แล้วครับท่านประมุข มีคนบุกเขามาในค่ายของเรา"ทหารยามคนนึงวิ่งแตกตื่นมาแจ้งข่าว 2คน หลี่เซิ่นหัวเสียที่มันเข้ามาขัดจังหวะความสำราญของเขา จึงฆ่าทิ้งไปเสีย1คน แล้วสอบถามรายละเอียดเอากับอีกคน

       

                  "มันเป็นใครพวกเราไม่รู้ครับ มันมาแค่คนเดียวแต่ กลับทำลายกองกำลังของเราได้ราวกับตบยุง โดยไม่มีใครล้มตายเลย เดินตรงเข้ามาทางนี้แล้วครับ"มันกล่าวด้วยความหวาดกลัว หลี่เซิ่นคิดว่ามันคงเสียสติไปแล้ว ถึงรายงานอะไรพล่อยๆเช่นนี้ ในพรรคใหญ่แห่งนี้มีกำลังคนร่วมหมื่น ต่อให้กองทัพใหญ่ของจักรพรรดิ ยังไม่กล้าบุกเข้ามาตรงๆเลย มีอย่างที่ไหนกันคนๆเดียวจะฝ่าเข้ามาได้ หลี่เซิ่นจึงฆ่าคนที่มารายงานทิ้งซะอีกคน แต่ดู

       

                  "ไม่เจอกันนานเลยนะ ท่านหลี่เซิ่น"บุรุษผู้นั้นกล่าว  เขาก็คือกริฟ ฟิคชั่น ศิษย์คนสุดท้ายของสำนักกระบี่วารีบุปผานั้นเอง การแต่งกายของเขาไม่ต่างไปจากเมื่อ7ปีก่อน หากแต่เพียงคราวนี้มีกระบี่ไม้ของหลิวเยี่ยนเหน็บอยู่ที่เอวเท่านั้นเอง เหล่าหัวหน้าสาขาต่างยืนนิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหว บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงมองเห็นชายคนนี้ ราวกับกองทัพนับแสน จนกระทั่งเขาเดินมาถึงกลางห้องโถงใหญ่ หัวหน้าสาขาผู้นึงคล้ายตื่นจากภวังค์ ใช้ทวนเหล็กฟาดไปที่เขา

       

                  "พลั่ก! อั๊ก "ทวนเหล็กด้ามนั้นหาได้ทำอันตรายแก่กริฟไม่ ตรงกันข้าม มันกับกระแทกเจ้าของๆมัน ลอยไปทะลุผนังห้องที่ทำจากหิน ออกไปกองข้างนอก โดยที่กริฟไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นเขาเอาไว้

       

                  "นี้มันอะไรกัน?"ทุกคนพากันงุนงง แล้วหัวหน้าสาขาในพรรคทั้งหมดก็ตัดสินใจ บุกเข้าไปพร้อมๆกัน แต่ดูเหมือนผลของมันจะไม่ต่างไปจากคนแรกเลย ชั่วอึดใจเดียวคนของพรรคอสูรทมิฬในตำหนักนี้ทั้งหมด คงมีเพียงหลี่เซิ่นผู้เดียวที่ยังมีสติอยู่ ดูเขาจะครั่นครามไม่น้อยต่อสิ่งที่เห็น แต่ก็ยังฝืนยิ้มพูดกับกริฟ

       

                  "หึ หึ หึ 7ปีมานี้ เจ้าคงตระเวณไปฝึกวิชาทั่วทุกสำนักเลยสินะ ถึงสามารถใช้วรยุทธประหลาดเช่นนี้ได้ ตั้งใจจะมาแก้แค้นให้อาจารย์ของเจ้ารึ"หลี่เซิ่นถาม มันสลัดผ้าคลุมสีดำออก ดึงดาบเล่มเดียวกันกับที่มันใช้ฆ่าหลิวเยี่ยน ถือกระชับไว้ให้มั่น

       

                  "มิได้ ข้ามาหาท่านในวันนี้ หาใช่ต้องการแก้แค้นไม่   7ปีก่อนข้าเคียดแค้นชิงชัง หมายจะแล่เถือหนังท่านให้ได้ แม้อาจารย์จะห้ามไว้ก็ตาม 4ปีถัดมาไฟแห่งความแค้นก็ยังคงอยู่แม้จะเบาบางลงไป ถึงจะคิดละเว้นชีวิตท่าน แต่ข้าก็ปราถนาจะให้ท่านพิการซะ มาบัดนี้ ความหมายของคำพูดอาจารย์ได้ซึมซับเข้าไปในใจของข้าแล้ว ข้าไม่ต้องการชีวิต หรือความทุกข์ทรมานของท่านอีก หากแต่เพียงมุ่งหวังให้ท่านกลับตัวกลับใจซะ และมอบดาบไร้นามออกมาแต่โดยดี "กริฟบอก กาลเวลาที่ผ่านไป ทำให้เขากลายเป็นจอมยุทธที่แท้จริงอย่างเต็มตัว

       

                  "โกหก ถ้าเจ้าไม่หมายที่จะแก้แค้น เหตุใดถึงได้เพียรฝึกฝนยุทธ จนบรรลุถึงขั้นนี้"หลี่เซิ่นไม่เชื่อในคำพูดของกริฟ     

       

                  "สิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ หาใช่เรียนรู้จากสำนักใดมั้ย ชั่วชีวิตข้ามีอาจารย์สอนวิชายุทธ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หลังจากที่ท่านตาย ข้าก็เพียงแค่ทบทวนพื้นฐานที่เคยเรียนมา และอาศัยอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร จนเข้าใจในกระแสแห่งธรรมชาติ เกิดเป็นศาสตร์แขนงนี้ขึ้นมา มันจะเรียกว่าวรยุทธได้มั้ยนั้น ข้าเองก็มิอาจรู้ได้"กริฟตอบหลี่เซิ่นเรียบๆสบายๆราวกับสนทนาอยู่กับสหายคนนึง

       

                  "(บ้าน่า จะบอกว่าคิดค้นวรยุทธขึ้นได้เองงั้นรึ หรือว่ามันบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์(O_o" ) )ถ้าเจ้าต้องการดาบไร้นามละก็  เสียใจด้วย ดาบสัปรังเคที่ชักไม่ออก ใช้ก็ไม่ได้แบบนั้นข้าขายทิ้งไปนานแล้ว"หลี่เซิ่นกล่าว

       

                  "เช่นนั้นรึ? ถ้างั้นข้าคงไม่มีธุระอะไรกับท่านอีกแล้ว ต้องขอตัวก่อนละ"กริฟตัดบท ขอลาเอาดื้อๆ หลี่เซิ่นทนไม่ได้ที่ถูกหยามหน้าเช่นนี้ เขาใช้เคล็ดวิชาขั้นสุดยอดในคัมภีร์พันธะดับสูญ กระบวนท่า หมดสิ้นทุกแห่งหน สร้างรัศมีดาบเชือดเฉือนทุกสรรพสิ่งรอบตัวในรัศมี 100เมตร แม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจหลุดรอดจาก กระบวนท่านี้ไปได้ ตำหนักอสูรคำรณป่นเป็นผุยผงไปในพริบตา

       

                  "ทะ..ทำไมถึง เป็นแบบนี้" หลี่เซิ่นรำพึงออกมาอย่างไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง กริฟ ฟิคชั่น ยังคงหันหลังให้เขา เดินออกไปโดยไร้รอยขีดข่วนแม้เพียงน้อยนิด ตรงข้ามตัวของเขากลับแขนขาขาดวิ่น ไส้ไหลทะลัก มีรอยแผลเต็มตัว ราวกับถูกฟันแทงนับพันๆครั้ง

       

                  "จะ..เจ้าใช้วิชามาร อะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้"หลี่เซิ่นกระอักเลือดกล่าวมาด้วย กำลังเฮือกสุดท้าย กริฟยังคงเดินไปอย่างช้าๆโดยไม่มีอาการเจ็บปวดอะไรเลยที่แสดงว่าเขาใช้Os งั้นอะไรละ? ที่ทำให้เขาไม่ได้รับอันตรายจากการโจมตี ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้

       

                  "มิได้ ข้าหาใช้วรยุทธใดมั้ย ข้าเพียงแค่"วาง"ในทุกสรรพสิ่งที่ยึดมั่นเอาไว้ตลอดมาลงเท่านั้นเอง โมหะจิตของท่านต่างหากละ ที่สังหารตัวท่านเอง"กริฟบอกแล้วก็เดินจากไป หลี่เซิ่นมองไปที่ดาบของตน มันมีเลือดของตัวเขาอาบอยู่เต็มไปหมด? เขาฟันตัวเองเหรอ ทำไมกัน? ก่อนจะสิ้นใจไป เขานึกถึงคำพูดคำนึง ของเจ้าสำนักกระบี่วารีบุปผา หลิวเยี่ยน ที่เคยกล่าวไว้ว่า

       

                  "ผู้คนทั่วหล้ามักคิดว่าไร้กระบี่พิชิตกระบี่ ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของวรยุทธแล้ว แท้จริงจุดสูงสุดของวรยุทธคือการสยบปัญหาทั้งปวงโดยไม่ต้องทำอะไร กล่าวคือ ไม่ใช้ยุทธก็สยบยุทธได้นั้นเอง "หลี่เซิ่นเข้าใจความหมายของมันแล้วว่าเป็นเช่นไร ก่อนที่เขาจะสิ้นใจไป...

       

                  บนยอดเขาแห่งนึง ใกล้เชิงผา มีป้ายหลุมศพทำจากหิน สลักอักษรไว้อย่างดีว่า หลิวเยี่ยน มันเป็นสุสานที่กริฟสร้างไว้แก่อาจารย์ของเขา ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณ พูดกับมันเสมือนตัวแทนของอาจารย์

       

                  ."อาจารย์ ข้าได้ทำในสิ่งที่รับปากไว้กับท่านครบแล้ว ดาบไร้นามได้หลุดพ้นจากพรรคมาร และตัวข้าเอง หาได้นำพาต่อความแค้นใดๆไม่ ขอให้ท่านวางใจ เถอะครับ"กริฟกล่าว สายลมอันอบอุ่นพัดมาวูบนึง สัมผัสกับใบหน้าของกริฟ คล้ายวิญญาณของหลิวเยี่ยนได้รับรู้ ก่อนที่กริฟจะหันหลังกระโดดไปตามยอดไม้และทิวเขา ล่องลอยอิสระดุจวิหคโผบิน ไร้พันธะผูกพันทั้งปวง...

       

                                                      [b][u]จบ[/u][/b]

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×